3 หน่วยงานตำรวจ ร่วมทลายธุรกิจลวงโลก หลอกให้ลงทุนหลากหลายรูปแบบ อ้างให้ผลตอบแทนสูง สุดท้ายธุรกิจไม่มีจริง

ตำรวจจาก 3 หน่วยงาน ร่วมทลายธุรกิจที่ถูกกล่าวหาว่าลวงโลก หลอกให้ลงทุนหลากหลายรูปแบบ อ้างให้ผลตอบแทนสูงชนิดไม่มีวันจ่ายได้จริง มีผู้หลงเชื่อนับ 1,000 ราย เงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 4 ราย แต่นายประสิทธิ์ อายุ 45 ปี ตัวการใหญ่ ยังหลบหนี

สืบเนื่องมาจาก มีกลุ่มผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. ว่าถูกนายประสิทธิ์ อายุ 45 ปี กับพวก ร่วมกันชักชวนให้ผู้เสียหายมาร่วมลงทุนในหลายรูปแบบ ซึ่งกำหนดผลตอบแทน เป็นกำไรที่สูงเกินความเป็นจริง ที่บริษัทจะสามารถประกอบกิจการแล้วนำเงินผลกำไรมาจ่ายผู้เสียหายได้ ซึ่งเป็นการจูงใจให้ผู้เสียหายหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก

ภายหลังกลุ่มผู้ต้องหาไม่สามารถจ่ายผลตอบแทน และเงินลงทุนคืนให้ผู้เสียหายได้ตามกำหนด ผู้เสียหายได้ติดต่อทวงถามขอเงินต้นที่ร่วมลงทุนคืน แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา ผู้เสียหายจึงรวมกลุ่มกันมาแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหา ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”

ซึ่งจากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า มีผู้เสียหายและนักลงทุนที่ถูกหลอกลวงให้ร่วมลงทุนนับ 1,000 ราย มีเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาท โดยกลุ่มผู้ต้องหามีรูปแบบการชักชวนให้ลงทุนหลายรูปแบบ ดังนี้

รูปแบบที่ 1 ชักชวนให้ผู้เสียหายนำบัตรเครดิต หรือเงินสด มาลงทุนซื้อแพ็กเกจทัวร์กับบริษัททัวร์ของผู้ต้องหา โดยในกรณีที่ผู้ลงทุนไม่ประสงค์จะใช้แพ็กเกจทัวร์ ผู้ลงทุนสามารถนำเงินมาลงทุนหมุนเวียนกับทางบริษัทในรูปแบบอื่นได้ ได้รับผลตอบแทนจะเป็นไปตามที่บริษัทนำเสนอ โดยมีรูปแบบการลงทุน ทั้งแบบ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 10 เดือน

รูปแบบที่ 2 ชักชวนให้ลงทุนโดยให้โอนเงินฝากเข้าบัญชีสหกรณ์ออมทรัพย์การค้าธุรกิจ บริการและผลิตภัณฑ์ผสมผสานของผู้ต้องหา โดยอ้างว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทน 11.5 – 15 เปอร์เซ็นต์ ต่อการลงทุนในระยะเวลา 39 วัน

รูปแบบที่ 3 ชักชวนให้ลงทุนซื้อทองคำจากร้านจำหน่ายทองคำทั่วไป และให้นำทองคำพร้อมใบเสร็จมาลงทุนตามโปรโมชั่นของบริษัท โดยยอดการลงทุนคำนวณจากราคาทองคำตามที่ระบุในใบเสร็จ และมีการเสนอผลกำไร 43.5 เปอร์เซ็นต์ โดยจะแบ่งจ่ายกำไรเป็น 2 งวด พร้อมกับมีการแบ่งจ่ายคืนเงินต้น เป็นงวด ๆ รวม 10 งวด

รูปแบบที่ 4 ชักชวนให้ลงทุนเงินสด หรือ ทองคำในระบบกองทุนส่วนตัวของนายประสิทธิ์ เป็นระยะเวลา 21 วัน เสนอผลตอบแทน 9.5 เปอร์เซ็นต์ โดยให้ผู้ลงทุนโอนเงินเข้าบัญชีนายประสิทธิ์ หรือบัญชีบริษัทของผู้ต้องหา กรณีเป็นบัตรเครดิต ผู้ลงทุนจะต้องนำบัตรเครดิตไปรูดซื้อทองคำจากร้านจำหน่ายทองคำทั่วไป พร้อมนำทองคำและใบเสร็จมาทำสัญญากับบริษัทของผู้ต้องหา

รูปแบบที่ 5 เป็นการชักชวนให้ลงทุนซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมจากร้านในเครือข่ายของผู้ต้องหา โดยผู้ต้องหาจะเสนอให้ผู้ซื้อปล่อยเช่ากระเป๋า โดยเสนอผลตอบแทนประมาณ 43.5 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 10 เดือน ของราคากระเป๋าที่ลงทุน โดยผลตอบแทนทางร้านค้าจะแบ่งจ่ายเป็นจำนวน 6 ครั้ง พร้อมกับมีการจ่ายเงินคำกระเป๋า (จำนวนเงินที่ลงทุน) เป็นงวด ๆ รวม 10 งวด

เนื่องจากรูปแบบในการก่อเหตุของกลุ่มผู้ต้องหา มีความยุ่งยากสลับซับซ้อน มีลักษณะการกระทำความผิดในรูปของขบวนการ หรือกลุ่มบุคคล และมีมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก จึงถือว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีที่มีความสำคัญ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก/หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ปอศ., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. และ พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปอท. จัดชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสืบสวนสอบสวนติดตามจับกุมกลุ่มผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว

ต่อมาทางตำรวจได้สืบสวน จนทราบตัวเครือข่ายหลอกลวงนักลงทุนดังกล่าว จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับนายประสิทธิ์ กับพวก ในความผิดฐาน”ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” รวมผู้ต้องหาตามหมายจับจำนวน 6 ราย

โดยในวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 ตำรวจ บก.ป. พร้อม ตำรวจ บก.ปอศ. และ ตำรวจ บก.ปอท. ได้ดำเนินการตรวจค้นเป้าหมายทั้งหมด 9 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 4 ราย ดังนี้

  1. น.ส.ณัฐวรรณ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 751/2564 ลงวันที่ 12
    พฤษภาคม 2564 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”
    2.น.ส.สิริมา อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 754/2564 ลงวันที่ 12
    พฤษภาคม 2564 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”
  2. นายกิตติวัฒน์ อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 752/2564 ลงวันที่ 12
    พฤษภาคม 2564 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”
  3. พันโท แพทย์หญิง อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 747/2564 ลงวันที่
    12 พฤษภาคม 2564 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”

นอกจากนี้ในระหว่างการตรวจคันจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจยังสามารถจับกุมชาย อายุ 33 ปี ในความผิดตาม พรบ.อาวุธปืนฯ ได้ที่ห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ พร้อมกับ น.ส.ณัฐวรรณ ผู้ต้องหาในคดีนี้

และสามารถตรวจยึดพยานเอกสารพร้อมพยานหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดและเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอีกจำนวนหลายรายการ หลังจากนั้นตำรวจจึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมพยานหลักฐาน นำส่งพนักงานสอบสวน บก.ปอศ. ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ในส่วนของผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีการจับกุมอีก 2 ราย คือ

  1. นายประสิทธิ์ อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 748/2564 ลงวันที่ 12
    พฤษภาคม 2564 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”
  2. นายกิตติศักดิ์ อายุ 55 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 750/2564 ลงวันที่ 12
    พฤษภาคม 2564 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”

การปฏิบัติงานครั้งนี้เป็นการทำงานร่วมกันของตำรวจจาก 3 หน่วยงาน คือกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) , กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) และ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.)

ภายใต้การสั่งการของ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก/หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน,พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ปอศ., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป., พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปอท., พ.ต.อ.มนตรี เทศขัน, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ รอง ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก. บก.ป., พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.2 บก.ป., พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป., พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป., พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว ผกก.5 บก.ป., พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผกก.6 บก.ป. พ.ต.อ.วิจักชณ์ ตารมย์ ผกก.สสน.บก.ป., พ.ต.อ.มิ่งมนตรี ศิริพงษ์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.ป., พ.ต.อ.นิตติโชติ เพ็ญจำรัส ผกก.4 บก.ปอศ., พ.ต.อ.วงศ์ปกรณ์ เปรมกุลนันท์, พ.ต.อ.สมชาย เผ่าไทย, พ.ต.อ.สุมรภูมิ ไทยเชียว, พ.ต.อ.วรเทพ สงวนแสง, พ.ต.อ.เกรียงศักดิ์ จิตต์สอาด , พ.ต.อ.อรรณพ ลิมปิโรจน์ฤทธิ์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.ปอศ., พ.ต.อ.เชาว์วัย ศานกมล ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.ปคบ. และ พ.ต.อ.อมรชัย ลีลาขจรจิตร ผกก.กลุ่มงานสนับสนุนฯ บก.ปอท.

โดยตำรวจจะเร่งดำเนินการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และหากประชาชนผู้ใด มีเบาะแสเกี่ยวกับผู้ต้องหาที่ยังคงหลบหนีอยู่ ท่านสามารถแจ้งข้อมูลเบาะแสที่เป็นประโยชน์เข้ามาได้ที่ บก.ป. หรือ บก.ปอศ.

ส่วนผู้ลงทุนที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของกลุ่มผู้ต้องหา ขอให้รวบรวมพยานหลักฐาน และติดต่อเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ.