ตำรวจกองปราบปราม เข้าตรวจค้นโบราณวัตถุลักษณะคล้ายปืนใหญ่

ตำรวจกองกํากับการ 1 กองบังคับการปราบปราม ร่วมกับ กรมศิลปากร เข้าตรวจค้น ร้านค้าที่มีการจำหน่าย และเก็บรักษาโบราณวัตถุ จำนวน 3 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 2 จุด และพื้นที่ จ.นนทบุรี จำนวน 1 จุด พฤติการณ์เมื่อประมาณเดือน ก.ค. 2564 ตำรวจกองบังคับปราบปราม รับแจ้งจากเพจเฟซบุ๊ก “กองปราบปราม” ให้ช่วยตรวจสอบเพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่ง ขายสินค้าประเภทโบราณวัตถุลักษณะคล้ายปืนใหญ่ผ่านช่องทางออนไลน์ ปรากฏข้อความชวนเชื่อให้ผู้คนทั่วไปเกิดความสนใจและมีการจำหน่ายในราคาที่ค่อนข้างสูง ตำรวจ กก.1 บก.ป.

สืบสวนทราบว่า ร้านดังกล่าวมีการประกาศขายโบราณวัตถุจริง และเปิดร้านจำหน่ายสินค้าในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยมีการเก็บรักษาสินค้าไว้ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ จ.นนทบุรี จึงรวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลออกหมายค้นสถานที่ ๆ เกี่ยวข้องจำนวน 3 สถานที่ โดยวันที่ 15 ก.ย. 2564 ตำรวจ กก.1 บก.ป. ร่วมกับ กรมศิลปากร เข้าตรวจค้นร้านค้าที่มีการจำหน่าย และสถานที่เก็บรักษาโบราณวัตถุ จำนวน 3 จุด โดยนายยืนยง แสดงตัวเป็นเป็นเจ้าของสถานที่ทั้งหมด พาตรวจค้น ซึ่งผลการตรวจค้นพบโบราณวัตถุลักษณะคล้ายปืนใหญ่ทั้งสิ้น 7 กระบอก

โดยนายยืนยง รับว่าเป็นผู้ครอบครอง เปิดขายที่บริเวณหน้าร้าน ถนนบรมราชชนนี แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ นานกว่า 8 ปี โดยโบราณวัตถุลักษณะคล้ายปืนใหญ่ทั้งหมดนำเข้ามาจากต่างประเทศ กำหนดราคาตามขนาด ซึ่งกระบอกเล็กขายในราคาประมาณ 50,000 – 100,000 บาท กระบอกใหญ่ขายในราคา 100,000 – 200,000 บาท นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ ยังตรวจพบว่ายังมีการขายสินค้าประเภทอื่น ๆ อีกด้วย เบื้องต้นพบว่า โบราณวัตถุลักษณะคล้ายปืนใหญ่ทั้งหมด เป็นวัตถุที่ทำเทียม เลียนแบบขึ้นมา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ นำไปตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ เพื่อยืนยันอีกครั้ง หากพบว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่าร้านค้าดังกล่าวไม่ได้ทำการขออนุญาตทำการค้าตามกฎหมาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจมีความผิดตาม พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 19 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

จากการสอบถามจากนายยืนยง รับว่าโบราณวัตถุลักษณะคล้ายปืนใหญ่ ติดต่อซื้อมาจากคนรู้จัก ในส่วนของกรณีที่พบโบราณวัตถุลักษณะคล้ายปืนใหญ่ปรากฏอยู่ในโซเชียลมีเดียนั้น มีบุคคลเข้ามาติดต่อว่าจะช่วยโปรโมทขายสินค้าทางออนไลน์ให้ โดยให้นายยืนยง ตั้งราคาไว้ระดับหนึ่ง บุคคลดังกล่าวนำไปขายราคาเท่าไรก็ได้ตามแต่จะกำหนด โดยนายยืนยง ไม่ทราบว่าบุคคลดังกล่าวจะขายให้กับลูกค้าในราคาเท่าใด แต่หลังจากมีลูกค้าสนใจซื้อสินค้าผ่านบุคคลดังกล่าว ข้อมูลที่ปรากฏในเพจเฟซบุ๊ก ตรวจสอบดูแล้วพบว่าบุคคลดังกล่าว ให้รายละเอียดกับลูกค้าเกินความเป็นจริง

โดยกองบังคับการปราบปราม ฝากเตือนประชาชน ในกรณีที่จะประกอบกิจการใด ๆ ควรศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้อง และนำมาใช้กับกิจการให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากการประกอบกิจการใด ๆ กระทำลงไปโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย จะถือว่าเป็นความผิด ต้องรับโทษตามกฎหมาย