
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ PCT พร้อมด้วย พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ MBC Club มูลค่าความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่า เครือข่าย MBC Club ได้ชักชวนผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนใน Forex โดยหลอกลวงว่าจะได้กำไรเฉลี่ย 40% ของเงินที่ลงทุนต่อเดือน และจะนำผลกำไรมาปันผลให้กับผู้ร่วมลงทุน แต่หากลงทุนครบ 40,000,000 บาท ภายในสิ้นปีจะได้รับรางวัลเป็นรถยนต์ ยี่ห้อPorsche 718 Boxster จากบริษัท
ซึ่งการลงทุนดังกล่าวมีแผนการร่วมลงทุน แบ่งเป็น 5 แพ็คเกจ ดังนี้
แพ็กเกจที่ 1 MEMBER ทุนจำนวน 50,758 บาท ทาง CLUB เพิ่มทุนให้ 110% เฉลี่ยกำไรต่อวันคิดเป็น 27.50 %
แพ็กเกจที่ 2 SILVER ทุนจำนวน 253,750 บาท ทาง CLUB เพิ่มทุนให้ 115% เฉลี่ยกำไรต่อวันคิดเป็น 28.75%
แพ็กเกจที่ 3 TITANIUM ทุนจำนวน 507,500 บาททาง CLUB เพิ่มทุนให้ 120% เฉลี่ยกำไรต่อวันคิดเป็น 30%
แพ็กเกจที่ 4 GOLD ทุนจำนวน 2,537,500 บาท ทาง CLUB เพิ่มทุนให้ 125% เฉลี่ยกำไรต่อวันคิดเป็น 31.25%
แพ็กเกจที่ 5 PLATINUM ทุนจำนวน 5,075,000บาท ทาง CLUB เพิ่มทุนให้ 130% เฉลี่ยกำไรต่อวันคิดเป็น 32.50% โดยระยะเวลาจ่ายผลตอบแทน 40 วัน โดยจ่ายทุก 10 วัน
ซึ่งในคดีนี้มีผู้เสียหายกว่า 1,000 ราย ในช่วงแรก ๆ ผู้เสียหายได้รับผลตอบแทนจริง ยิ่งทำให้เกิดความเชื่อมั่น จากนั้นคนร้ายจะชักชวนให้ลงทุนเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ

ต่อมาเริ่มไม่มีการจ่ายผลตอบแทนตรงตามที่กล่าวอ้าง แต่ยังชักชวนให้ผู้เสียหายลงทุนแบบใหม่คือ Save Coin SME โดยวิธีการลงทุนคือ ต้องโอนเงินเข้าไปซื้อเหรียญ CMBC Coin และให้เก็บไว้ ทาง CLUB จะปันผลให้เดือนละ 20% และเหรียญนี้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ค่อยนำออกมาขายเมื่อราคาเป็นที่น่าพอใจ
หลังจากผู้เสียหายร่วมลงทุนไปแล้ว คนร้ายได้จ่ายผลตอบแทน ต่อมาคนร้ายแจ้งว่าจะหยุดจ่ายผลตอบแทนเป็นเงินสด รวมทั้งการคืนทุนด้วย แต่จะจ่ายในรูปแบบเหรียญดิจิทัล CMBC Coin ให้แทน โดยบอกว่าเหรียญนี้ขายในกระดานซื้อขายเหรียญดิจิทัล แต่แพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นเพียงวิธีการหลอกลวงของคนร้าย ทำให้ผู้เสียหายจำนวนมากหลายพันคน รวมความเสียหายรวมเป็นเงินรวมกันกว่า 1,000 ล้านบาท
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวว่า คดีนี้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นจำนวนมาก จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT สืบสวนจนสามารถขอศาลอนุมัติหมายจับและจับกุมผู้ต้องหาได้ คือ นายวินกรณ์ สงวนนามสกุล ในความผิดฐาน “ ฉ้อโกง และ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” ซึ่งนายวินกรณ์เป็นเจ้าของบัญชีที่ผู้เสียหายโอนเงินเข้าไป และจะขยายผลจับกุมคนร้ายที่เหลือทั้งหมดต่อไป
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวอีกว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยทั่วประเทศระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 5 กลุ่ม ในห้วงวันที่ 11-20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้ โดยแบ่งผลการจับกุมได้ดังนี้
การหลอกลวงออนไลน์ทางด้านการเงิน 227 คดี ผู้ต้องหา 198 คน
การหลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์และสินค้าผิดกฎหมาย 418 คดี ผู้ต้องหา 444 คน
การเผยแพร่ข่าวปลอมและคดีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 500 คดี ผู้ต้องหา 446 คน
การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและสตรีทางอินเทอร์เน็ต และ การค้ามนุษย์ 94 คดี ผู้ต้องหา 79 คน
การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติและอื่น ๆ 1,400 คดี ผู้ต้องหา 1,464 คน
สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ รวมทั้งสิ้น 2,631 ราย
ผอ.PCT กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงได้กำชับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งปราบปรามอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด 19 ซึ่งมีการหลอกลวงประชาชนโดยใช้ Social Media เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน ถือเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน หลังจากนี้จะได้แจ้ง ปปง. ให้ตรวจสอบเพื่อยึดทรัพย์สินของผู้ต้องหาและผู้ที่เกี่ยวข้องและดำเนินคดีฐานฟอกเงินต่อไป
หากพบเบาะแส หรือเกรงจะตกเป็นเหยื่อ สามารถแจ้งเข้ามาได้ที่ สายด่วน PCT 1599 ตลอด 24 ชม. หรือสายตรง 081-8663000 หรือ www.pct.police.go.th
